|
บทคัดย่อ/Abstract |
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการใช้ และปัญหาการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ของคณาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 2) เพื่อศึกษาความต้องการของคณาจารย์ที่มีต่อการใช้บริการฐานข้อมูลออนไลน์ 3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการใช้ ปัญหาและความต้องการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ของคณาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ตามตัวแปร เพศ อายุ คณะที่สังกัด วุฒิการศึกษาสูงสุด ตำแหน่งทางวิชาการ ประสบการณ์ในการสอนระดับอุดมศึกษา ประสบการณ์ในการวิจัย และประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต 4) เพื่อศึกษาถึงปัญหาและข้อเสนอแนะในการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ของคณาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยแบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มประชากรทั้งหมดที่เป็นคณาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาจ านวน 231 คนจาก 4 คณะ คือ คณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ และคณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานโดยใช้การทดสอบค่าเฉลี่ยของประชากร (?) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากร (?) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ด้านการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ พบว่าคณาจารย์ 216 คน (ร้อยละ 93.5) เคยใช้ฐานข้อมูลออนไลน์และ 15 คน (ร้อยละ 6.5) ไม่เคยใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ คณาจารย์ที่ไม่เคยใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ ส่วนใหญ่เพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ สำหรับคณาจารย์ที่เคยใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบการวิจัย มีความถี่ในการใช้ส่วนใหญ่ไม่แน่นอน ฐานข้อมูลออนไลน์ที่ใช้มากที่สุดคือ Thailis (TDC) มีการรับรู้การให้บริการฐานข้อมูลออนไลน์ คือ เว็บไซต์ มีเหตุผลที่เลือกใช้ คือ ข้อมูลมีความทันสมัย วิธีการใช้ คือ สืบค้นด้วยตนเอง สถานที่ที่ใช้คือ ห้องท างาน ช่วงเวลาในการสืบค้นระหว่าง 12.00 น.-18.00 น. ผลลัพธ์ที่ได้จากการสืบค้นคือ เอกสารฉบับเต็ม (PDF) และใช้วิธีการสั่งพิมพ์เฉพาะหน้าที่ต้องการ 2. ด้านปัญหาการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ พบว่า ปัญหาด้านฐานข้อมูลออนไลน์ที่คณาจารย์พบมากที่สุดคือ ฐานข้อมูลออนไลน์มีจำนวนน้อย ปัญหาด้านผู้ใช้บริการ (คณาจารย์) ที่พบมากที่สุดคือ ขาดทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสืบค้น ด้านผู้ให้บริการ (บรรณารักษ์) ที่พบมากที่สุดคือ มีจำนวนไม่เพียงพอ ปัญหาด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเครือข่ายที่พบมากที่สุดคือ ระบบเครือข่ายเกิดความขัดข้องบ่อยและด้านการอบรมและประชาสัมพันธ์ที่พบมากที่สุดคือมีการจัดอบรมสาธิตน้อย 3. ด้านความต้องการของคณาจารย์ที่มีต่อการใช้บริการฐานข้อมูลออนไลน์พบว่าคณาจารย์ต้องการจัดหาฐานข้อมูลออนไลน์ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับหลักสูตรการเรียนการสอน รองลงมาคือต้องการจัดคอมพิวเตอร์ให้มีจำนวนเพียงพอ และจัดอบรมสาธิตการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ในระยะเวลาที่เหมาะสม 4. แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ ควรเพิ่มจำนวนฐานข้อมูลออนไลน์ให้เพียงพอสอดคล้องกับหลักสูตรการเรียนการสอนให้มากที่สุด จัดหาคู่มือเอกสารแนะนำเกี่ยวกับฐานข้อมูลออนไลน์ต่างๆ รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขอย่างสม่ำาเสมอ บรรณารักษ์ควรมีทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษในการสืบค้นฐานข้อมูลออนไลน์ แนะนำฐานข้อมูลออนไลน์ที่ชัดเจน จัดเตรียมจำนวนคอมพิวเตอร์ให้เพียงพอ จัดระบบเครือข่ายให้มีความรวดเร็ว ตรวจสอบการทำงานของระบบเครือข่ายอย่างสม่ำาเสมอ จัดให้มีการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มระยะเวลาในการจัดอบรมให้เหมาะสม รวมทั้งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์อย่างทั่วถึง 5. ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า คณาจารย์ที่มีปัจจัยทางด้านเพศ อายุ คณะที่สังกัด วุฒิการศึกษาสูงสุด ตำแหน่งทางวิชาการ ประสบการณ์ในการสอนระดับอุดมศึกษา ประสบการณ์ในการวิจัย และประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่แตกต่างกัน มีปัญหาการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ที่ไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังพบว่า คณาจารย์ที่มีเพศ อายุ คณะที่สังกัด วุฒิการศึกษาสูงสุดที่แตกต่างกัน มีความต้องการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ที่ไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนปัจจัยทางด้านตำแหน่งทางวิชาการ ประสบการณ์ในการสอนระดับอุดมศึกษา ประสบการณ์ในการวิจัยและประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่แตกต่างกัน มีความต้องการใช้ฐานข้อมูลออนไลน์ที่แตกต่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
The objective of this research are 1) to study condition of use, problems for using online databases of faculty members at Yala Rajabhat University (YRU); 2) to study the needs of members who have access to an online databases 3) to investigate the different needs of online databases among faculty members at Yala Rajabhat University, and examine difference by gender, age, faculty, educational level, academic title, teaching experience in higher education, research experience, and the internet experience; and 4) to identify problems and suggestions of YRU faculty members regarding use of online databases. Surveys were used as the primary data collection method. A total of 231 sets of questionnaires were distributed to faculty members at YRU. The study population was divided into 4 faculties: the faculty of education, faculty of humanities and social science, faculty of management sciences and faculty of science technology and agriculture. Data analysis was conducted to identify descriptive statistics and comparison of means using the population average (?) and standard deviation of population (?). The findings revealed the following: 1. Among faculty members, 216 subjects have used online databases, whereas 15 have never used them before. Most of the non-users reported that they had no need to use online databases. The majority of the users stated that their objectives were to find information for their research. Their access frequency was inconsistent. The main database used was ThaiLis (TDC). The reasons identified for choosing to use online databases were to access up to date research and information. Respondents indicated that they primarily learn how to use online databases and work on them by themselves. Their primary access point is the personal office from 12:00-18:00 pm. 2. Respondents identified a number of challenges related to their use. Some online databases had insufficient content. Respondents indicated that they lacked the English language skills to properly access and use online databases. There were few librarians able to help faculty members with technical aspects of online databases. Busy networks interrupted online research. Finally, respondents indicated that there were few training seminars. 3. Faculty members recommended that the Academic Resources and Information Technology Center at YRU should update subscriptions and services for online databases and offer training courses and assistance regularly. Additionally, training and promotion of online databases should be improved and offered more frequently. 4. Faculty members also identified a number of potential options for improving their usage of online databases. These included increasing the number and types of databases to cover instruction of all educational levels and topics; librarians should improve their proficiency in English skills for retrieval and facilitation of access to online databases; network speeds should be increased; computer resources should be improved; and training must be offered continually and well promoted among faculty members. 5. Data analysis showed no differences by gender, age, faculty, educational level, academic title, teaching experience in higher education, research experience and the internet experience with problems of using online databases of faculty members, and data analysis showed differences in faculty members needs of online databases by different academic title, teaching experience in higher education, research experience, and the internet experience. Keywords: Usage of online databases, Needs in usage of online databases, Problems in usage of online |