ชื่อเรื่อง/Title การแพร่ระบาดของสารเสพติดในเด็กและเยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
     บทคัดย่อ/Abstract การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การแพร่ระบาดของสารเสพติด โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภูมิหลังของเด็กและเยาวชนกับประสบการณ์การเสพสารเสพติด เปรียบเทียบปัจจัยบางประการที่เกี่ยวข้องกับสารเสพติดระหว่างเด็กและเยาวชนจากในและนอกระบบโรงเรียน เด็กและเยาวชนที่นับถือศาสนาพุทธและอิสลาม และระหว่างเด็กและเยาวชนที่มีประสบการณ์เคยและไม่เคยลองเสพสารเสพติด ค้นหาปัจจัยที่สามารถอิบายพฤติกรรมการเสพสารเสพติดของเด็กและเยาวชน และเพื่อทราบสถานการณ์ความรุนแรงของการแร่ระบาดของสารเสพติดในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตตลอดจนเพื่อทราบสาเหตุ วิธีการแพร่ระบาด แนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของสารเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชน
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยได้มาจากสุ่มแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling)เป็นเด็กและเยาชนจากในและนอกระบบโรงเรียนจำนวน 965 คน และ 523คน ตามลำดับ และเป็นกลุ่มบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการบำบัดรักษา และการปราบปรามการแพร่ระบาดของสารเสพติดจำนวน 240 คน ผลการวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์เคยและไม่เคยลองเสพสารเสพติดกับเพศ อายุ ระดับการศึกษา ลักษณะการพักอาศัยของเด็กและเยาวชนอาชีพของบิด อาชีพของมารดา ช่วงเวลาของการเกิดปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว การเคยเห็นเพื่อนสนิทเคยเห็นสูบบุหรี่ ดื่มสุรา/เบียร์ สูบกัญชา/ใบกระท่อม อย่างมีนัยสำคญทางสถิติที่ระดับ.05โดยไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์การเสพสารเสพติดกับตัวแปรอื่นที่สนใจศึกษา
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบพบว่า ประเภทของเด็กและเยาวชนจากในและนอกระบบโรงเรียน มีความแตกต่างกันในด้านบุคลิกภาพชอบท้าทาย ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความมีอิสระจากเพื่อน การรับรู้ความยาก-ง่ายในการหาซื้อสารเสพติดจากชุมชนที่อาศัยอยู่ และการได้รับข่าวสารเกี่ยวกับสารเสพติดจากสื่อบุคคล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ.05แต่ไม่พบความแตกต่างในตัวแปรอื่นที่สนใจศึกษา ผลการเปรียบเทียบระหว่างเด็กเยาวชนที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม พบว่า มีความแตกต่างกันในด้านเจตคติต่อสารเสพติด ความมีอิสระจากเพื่อน การรับรู้ความยาก-ง่ายในการหาซื้อสารเสพติดจากชุมชนที่อาศัยอยู่ การรับรู้ความยาก-ง่ายในการหาซื้อสารเสพติดจากบริเวณโรงเรียนและแหล่งใกล้เคียง การได้รับข่าวสารเกี่ยวกับสารเสพติดจากสื่อบุคคล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 แต่ไม่พบความแตกต่างในตัวแปรอื่นที่สนใจศึกษา ผลการเปรียบเทียบระหว่างเด็กและเยาวชนที่เคยและไม่เคยทดลองเพสารเสพติด พบว่า มีความแตกต่างกันในด้านบุคคลิกภาพชอบท้าทาย เจตคติต่อสารเสพติด ความสัมพันธ์ในครอบครัว การชักชวนให้ทดลองเสพสารเสพติดจากเพื่อน การรับรู้ความยาก-ง่ายในการหาซื้อสารเสพติดจากชุมชนที่อาศัยอยู่ การรับรู้ความยาก-ง่ายในการหาซื้อสารเสพติดจากบริเวณโรงเรียนและแหล่งใกล้เคียง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05แต่ไม่พบความแตกต่างในตัวแปรอื่น
ผลการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ โดยการวิเคราะห์ในกลุ่มรวม และจำแนกตามกลุ่มเด็กและเยาวชนในระบบโรงเรียนอกระบบโรงเรียน นับถือศาสนาพุทธ และนับถือศาสานอิสลาม พบผลที่ตรงกันกล่าวคือ การชักชวนให้ทดลองเสพสารเสพติดจากเพื่น สามารถอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการเสพสารเสพติดของเด็กและเยาวชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01เป็นลำดับแรกในทุกกลุ่ม รองลงมาได้แก่ บุคลิกภาพชอบท้าทาย และเจตคติต่อสารเสพติด ซึ่งสลับลำดับที่ในการอธิบายบ้างตามกลุ่มการวิเคราะห์ โดยมีข้อสังเกตว่า การรับรู้ความยาก-ง่ายในการหาซื้อสารเสพติดในชุมชนที่อาศัยอยู่ สามารถอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการเสพสารเสพติดเพิ่มขึ้นจากสามตัวแปรดังกล่าวได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05เฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่นับถือศาสนาอิสลาม
ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องพบว่า ในปัจจุบันการแพร่ระบาดของสารเสพติดรุนแรงกว่าในอดีตที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต โดยมีสาเหตุที่โยงใยสลับซับซ้อนทั้งในระดับสังคม ครอบครัวบุคลิกภาพส่วนตัว และการออกฤทธิ์ของตัวสารเสพติด ด้านวิธีการแพร่ระบาดของสารเสพติดมีหลายวิธี เช่น การใช้เด็กและเยาวชนเป็นผู้จำหน่าย การใช้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจบีบบังคับให้จำหน่ายหรือทดลองเสพ เช่น รุ่นพี่ ครูการจัดปาร์ตี้สร้างสรรค์ การเจือปนกับเครื่องอุปโภคบริโภค รวมถึงการใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องสร้างความชอบธรรมโดยอ้างการเพิ่มรายได้และเสียภาษีให้รุฐเพื่อทำการผลิดสิ่งเพติดออกมาจำหน่าย ด้านการป้องกันการแพร่ระบาดของสารเสพติดสามารถทำได้หลายวิธี โดยเริ่มจากสถาบันครอบครัว ผู้ปกครองไม่ทำเป็นตัวอย่างให้เด็กเยวชนเห็น การใช้กลไกลของสื่ออย่างสร้างสรรค์ รวมถึงการใช้กลไกลอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นมาตราการทางกฎหมาย การส่งเริมให้เกิดกลุ่มหรือองค์ต่อต้านสารเสพติด ด้านการแก้ไขปัญหาสำหรับเด็กและเยาวชนที่ติดสารเสพติดไปแล้ว และผลกระทบต่อเนื่องจากการที่มีเด็กและเยาวชนติดสารเสพติด ควรจะมีการประสานงานกันในทุกระดับ เริ่มจากด้านนโยบาย การวางแผน การปฏิบัติและการประเมินผล ทั้งนี้เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสทธิภาพสูงสุด

This research is intended to investigate the spread of narcotics and drug among the youth in southern border province, and the relationship between the youth?s background and non-formal education systems, between Buddhist and Muslim youths, and between the youths with and without drug experiences; to determine factors leading
To drug addiction among such youths; to investigate the extent of drug abuse in the past, at present and in the future, and to find causes of drug abuse, distribution means as well as its prevention and suppression.
Through stratified random sampling, the samples of this research were 965 youths from the formal education system,523 from the non-formal education system,240 government officers involved in drug abuse prevention
suppression; and drug treatments.
It was found that drug experience correlated with the youth?s age, sex ,education level; fellow household members; parent?s occupation; experiences with friend who smoke, drink, or experiment with drugs; number of peers who smoked cigarettes, and occurrence of domestic disputes, significantly at the level of.05.
On comparing the youth from formal and non-formal education systems, differences were found with respect to
Thrill-seeking personality, familial closeness, independence from peers, perceived difficulty in purchasing drugs in the community, and exposure to drug information via personal contacts, significantly at the level of .05. No significant differences were found among other variables. There were differences between Buddhist and Muslim youths with respect to attitude toward drugs, independence from peers, perceived difficulty in purchasing drugs in the community , perceived difficulty in purchasing drugs at school and in the immediate surroundings, significantly at the level of .50. No significant differences were found among other variables, however.
Stepwise regression analysis revealed that peer pressure to take drugs was the chief factor responsible for the variance of drug abuse among all youth groups, significantly at the level of .01. Other factors included thrill-seeking personality, and attitude toward drugs, although with different ranking of importance in different groups. In addition to the three factor above, perceived difficulty in purchasing drugs in the community was another factor responsible for the variance of drug abuse among Muslim youths, significantly at the level of .05.
Drug prevention personnel expressed their opinions that drugs abuse at present is more severe than in past and seems to be inclined to increase in the future due to the complexity of the society, the family, personality, and drugs. Drug abuse has spread by various means such as having the youth as pushers, exploitation through seniority (teacher/student, senior/junior student) to force the youth push or try drugs, throwing a drug party, mixing drugs in consumer produce as well as using stale authority drug production. Drug prevention and suppression may stem from the family in which parents act as good role models, or it can be done via mass media, state mechanism such as legal measures, and anti-drugs or organization. Responsible personnel at all levels should coordinate to help addicts and to cope with other drug consequences.
     ผู้ทำ/Author
Nameวันชัย ธรรมสัจการ
Organization มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
Nameนิพนธ์ ทิพย์ศรีนิมิต
Organization มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
Nameนิรันดร์ จุลทรัพย์
Organization มหาวิทยาลัยทักษิณ. ภาควิชาจิตวิทยาและการแนะแนว
     เนื้อหา/Content
บทความ
     กลุ่มหัวเรื่อง: ด้านเศรษฐกิจและสังคม
--ปัญหาทางสังคม
     Publisher:
Name:มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
Address:สงขลา (Songkhla)
     Year: 2543
     Type: บทความ/Article
     Copyrights :
     Counter : 7398
     Counter Mobile: 37